ปัจจุบันความต้องการใช้พลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้น โดยประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้พิจารณาลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่สะอาดพึ่งพาได้มากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งอาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการช่วยแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ผู้สนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์เชื่อว่าเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMR) และมาตรฐานความปลอดภัยที่ดีขึ้น สามารถลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์ได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ออกมาคาดการณ์ว่าในปี 2025 จะเป็นปีที่สำคัญสำหรับพลังงานนิวเคลียร์ เนื่องจากจะมีวางแผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และการพัฒนาเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMR) จากรัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาและวางแผนการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและลดมลภาวะ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพลังงานนิวเคลียร์จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องเผชิญกับความ ท้าทายหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงและต้องมีการทดสอบระบบที่ใช้เวลานานหลายปีก่อนจะเริ่มใช้งานจริงได้ ในขณะที่การจัดหาเงินทุนที่ยังมีข้อจำกัด ซึ่งแม้ว่าแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น แต่สถาบันต่างๆ เช่น ธนาคารโลก ยังไม่ให้การสนับสนุนการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงต้องพัฒนานโยบายและกฎระเบียบที่เข้มแข็งเพื่อรองรับการลงทุนและเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ โดยเตา ปฏิกรณ์ขนาดเล็กอาจเป็นทางเลือกที่ราคาไม่แพงและยืดหยุ่นมากกว่า แต่ก็ยังคงไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลายได้ และผลกระทบจากภัยพิบัติทางนิวเคลียร์ในอดีตยังคงสร้างความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพลังงานนิวเคลียร์ในสายตาประชาชนทั่วไป
แหล่งอ้างอิงของข่าว / อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
Southeast Asia looks to nuclear power to supercharge its energy transition | AP News