กระทรวงพลังงาน Ministry of Energy

          เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยเน้นย้ำว่าปัญหาด้านราคาพลังงานที่สูงขึ้นและภาวะเงินเฟ้อนั้นต้องได้รับการแก้ไขโดยทันที และสัญญาว่าจะลดต้นทุนด้านพลังงานลงครึ่งหนึ่งภายในปีแรกของการบริหารงาน โดยที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางใช้อำนาจทางกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีอยู่เพื่อขยายกำลังการผลิตพลังงานในประเทศ รวมถึงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพื่อรักษาความเป็นชาติผู้นำด้านพลังงานและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในบริบทของการแข่งขันกับจีน

          อย่างไรก็ตาม การออกประกาศในครั้งนี้ถือว่าเป็นการยืนฝั่งตรงข้ามกับนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลไบเดนอย่างชัดเจน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ฯ ได้ออกคำสั่งให้แจ้งเพิกถอนประเทศสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส โดยจะมีผลทันทีหลังจากที่เอกอัครราชทูตยูเอ็นได้ยื่นเอกสารแสดงความจำนงดังกล่าวให้กับองค์การสหประชาชาติ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวนั้นเป็นความพยายามระดับโลกในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลก

          นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ฯ นั้นได้ยกเลิกนโยบายหลายนโยบายของรัฐบาลไบเดน ซึ่งรวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในพื้นที่อาร์กติกและชายฝั่ง และการยกเลิกเป้าหมายของไบเดนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการขนส่งและการเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าปราศจากคาร์บอนภายในปี 2035

          ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายภายใต้นโยบายของทรัมป์ฯ และบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่เช่น Exxon และ Chevron ได้ออกมาส่งสัญญาณว่ากลไกทางการตลาดนั้นจะเป็นตัวกำหนดปริมาณการผลิตในแต่ละรอบเอง

แหล่งอ้างอิงของข่าว / อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:

Trump declares ‘national energy emergency,’ orders U.S. to withdraw from Paris climate agreement | Reuters

ข่าวล่าสุด