ในปี 2567 ที่ผ่านมาสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์รวม 357 กิกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น 45% และพลังงานลมเพิ่มขึ้น 18% ความสำเร็จนี้ทำให้จีนใช้เวลาเร็วขึ้นถึง 6 ปี ในการบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด 1,200 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 และทำให้จีนก้าวขึ้นแท่นในฐานะหนึ่งในประเทศชั้นนำระดับโลกในด้านพลังงานทดแทน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจีนจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนอย่างมาก แต่ก็ยังคงเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก เนื่องจากยังคงพึ่งพาถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรม โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าจีนนั้นได้ตระหนักถึงความสำคัญของการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทนอย่างรวดเร็วเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างโอกาสที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานระดับโลก ในขณะที่สหรัฐฯ นั้นต้องเผชิญกับความท้าทายในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการบริหารภายในประเทศ
ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนยังได้มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนและอุปกรณ์พลังงานสะอาดอันดับหนึ่งของโลก อาทิ แผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม แบตเตอรี่ อิเล็กโทรไลเซอร์สำหรับการผลิตไฮโดรเจน โดยที่โรงงานขนาดใหญ่ของจีนมีศักยภาพการผลิตในประมาณสูง ซึ่งช่วยลดต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลมากขึ้น ต่างกับสหรัฐฯ ที่มีการชะลอการพัฒนาโครงการพลังงานลมและส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิลสืบเนื่องมากจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐฯ
แหล่งอ้างอิงของข่าว / อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
China built out record amount of wind and solar power in 2024 | AP News